“ปากีสถาน”
ทริปนี้เราเดินทางตั้งแต่วันที่ 12-22/4/13 กับบริษัทเดิมที่เคยไปทิเบตด้วยกันตอนตุลาคมที่ผ่านมา
หากพูดถึง “ปากีสถาน” หลายๆ คนคงนึกถึงเหตุการณ์ความไม่ปลอดภัย หรือระเบิดพลีชีพอะไรประมาณนั้น
แต่ที่เราไปเที่ยวนั้นอยู่ในพื้นที่ที่มีความปลอดภัยจากเรื่องพวกนี้พอสมควร
เหมือนเราอยู่แถบนี้ แต่มีเรื่องที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั่นล่ะ
โปรแกรมของเราส่วนใหญ่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศปากีสถาน
นั่งเครื่องจากกรุงเทพไปลงที่อิสลามาบัด ส่วนขากลับขึ้นเครื่องจากละฮอร์กลับกรุงเทพ
สถานที่ท่องเที่ยวที่เราไป…
อิสลามาบัด กิลกิต แฟรี่มีโดวส์ Zero Point ฮุนซ่า บัลติสฟอร์ท ธารน้ำแข็งฮอปเปอร์ ทะเลสาบฮุนซ่า
พัสสุ ซูสท์ คุนจิราบ ธารน้ำแข็งขาวพัสสุ ทะเลสาบบอริท นังกาปราบัด ชีลาส เบชาม ตักศิลา ละฮอร์ พิธีปิดชายแดน
ไม่แน่ใจว่าจะเล่าเรื่องได้มากน้อยขนาดไหน แต่จะพยายามให้ถึงที่สุดค่ะ
วันที่ 12/4/13 นั่งเครื่องมาลงที่อิสลามาบัด (เมืองหลวงของปากีสถาน) และพักที่นี่ 1 คืน
จากโปรแกรมเดิมคือ วันรุ่งขึ้นเราต้องนั่งเครื่องจากอิสลามาบัดไปกิลกิต แต่โชคร้ายที่วันนั้นเค้ายกเลิกเที่ยวบิน
การยกเลิกเที่ยวบินเป็นเรื่องปกติมากๆ ของที่นี่ เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนอยู่บ่อยๆ เหมือนจะแล้วแต่ดวงจริงๆ
เราจึงต้องเปลี่ยนวิธีการเดินทางกันใหม่ ด้วยการนั่งรถบัส ไปตามเส้นทางคาราโครัมไฮเวย์ (KKH)
ซึ่งเป็นทางหลวงลอยฟ้าที่สูงที่สุดในโลก เชื่อมระหว่างประเทศปากีสถานและประเทศจีน
ระยะทางประมาณ 700-800 กม. แต่ต้องใช้เวลาถึง 16 ชม. ด้วยกัน
ภาพ: สิงห์รถบรรทุกประจำ KKH
สมัยก่อนเค้านิยมตกแต่งลาที่เป็นพาหนะในการเดินทาง เมื่อเปลี่ยนเป็นรถยนต์ เค้าก็ยังไม่ทิ้งลวดลายศิลปะสวยๆ แบบนี้
นอกจากเส้นทางที่ขรุขระ ทุลักทุเลแล้ว ด่านตรวจที่ตั้งเป็นระยะๆ นี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้การเดินทางของเราล่าช้า
ตอนแรกๆ บอกว่า เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว
แต่ตอนหลังๆ รู้สึกจะถี่เหลือเกิน ทำให้ไม่แน่ใจว่าตรวจเพื่อเรา หรือตรวจเพื่อประเทศเค้ากันแน่
และยังมีทหารนั่งรถไปกับเราด้วยตลอดเส้นทางจนถึงเมืองกิลกิต!
มีการพักก้น คลายความเมื่อยล้าด้วยการลงไปถ่ายรูปข้างทางกันบ้าง
แต่ที่แวะบ่อยๆ น่าจะเป็นการเข้าห้องน้ำนี่ล่ะ
ส่วนใหญ่จะแวะตามปั๊มน้ำมัน หรือขอเข้าที่ด่านตรวจ ช่วงนี้ยังพอมีห้องน้ำให้เข้าอยู่บ้าง
ถ้าไกลจากตัวเมืองมากๆ เราอาศัยเกราะกำบังทางธรรมชาติอย่างเดียวเลย
สภาพพอใช้ได้ หากไม่คาดหวังอะไร (หรืออาจเป็นเพราะด้วยความเคยชินกับการเข้าห้องน้ำที่เมืองจีนก็เป็นได้)
ภาพ: ถ่ายรูปกับทหารที่เป็นบอดี้การ์ดประจำรถของเรา
เดินทางมาตั้งหลายชั่วโมง ยังไม่ถึงที่หมายซะที
ยังคงต้องนั่งรถกระเด้งกระดอนไปอีกเกือบๆ 300 กม.
สรุปว่า คืนนั้นกว่าพวกเราจะถึงที่พักก็ดึกๆ โน่นเลย นอนพัก 1 คืน และวันรุ่งขึ้นเตรียมตัวกระเด้งกันต่อ
ช่วงที่จอดรถจะมี “แขกมุง” เป็นหย่อมๆ
คนที่นี่เค้าจะตื่นตาตื่นใจกับนักท่องเที่ยวมากๆ เป็นเพราะประเทศเค้ายังไม่ค่อยเปิด และมีคนเข้ามาเที่ยวกันน้อย
เด็กๆ ที่นี่ชอบ “ปากกาลูกลื่น” เป็นพิเศษ ในกรุ๊ปเราเตรียมไปแจกโดยเฉพาะเลย
เป็นเพราะปากกาของที่นี่ใช้ไม่ดี สู้ของบ้านเราไม่ได้
หลังจากพักเหนื่อยที่เมืองกิลกิตกันมา 1 คืน
โปรแกรมสำหรับวันนี้คือ นั่งรถจิ๊บ และต่อด้วยขี่ม้า เพื่อจะขึ้นไปพักบนแฟรี่มีโดวส์ (Fairy Meadows)
เราต้องแยกของใส่กระเป๋าเล็กเพื่อขึ้นไปพักข้างบน 1 คืน
ตอนฟังโปรแกรมทีแรกก็เฉยๆ นะ รู้ว่าต้องเหนื่อยอีกแล้ว แต่ไม่นึกว่าจะเหนื่อยถึงขนาดนี้เชียวหรือนี่!!!
รถจิ๊บ 1 คัน นั่งกัน 5 คน (ไม่รวมคนขับ)
เท่าที่สอบถามจากไกด์ท้องถิ่น เค้าบอกว่า คนขับรถเส้นทางนี้ต้องมีใบอนุญาตโดยเฉพาะ
เดี๋ยวมาดูกันว่า เราต้องนั่งรถจิ๊บผ่านสภาพถนนแบบไหน ถึงขนาดต้องมีใบอนุญาตพิเศษโดยเฉพาะ
สวมแว่น ปิดปาก ปิดจมูก เตรียมตัวไปลุยกันได้เลย!!!
ช่วงเริ่มต้นของการเดินทางด้วยรถจิ๊ป
ทำเอาพวกเรา “นักชอบเที่ยวลำบากลำบน” ตื่นเต้นกันแล้ว
จากเว็บไซต์ www.toptenz.net เค้าจัดลำดับให้เส้นทางนี้เป็นถนนสุดอันตรายอันดับ 3 ของโลก
เป็นถนนตั้งอยู่ในภูเขาสูงกว่า 26,660 ฟุต ในยอดเขานังกาปราบัด ซึ่งสูงเป็นอันดับ 8 ของโลก
และเป็นอีกหนึ่งภูเขาอันตรายของนักปีนเขาทั้งหลาย
ซิ่งรถจิ๊บลัดเลาะไปตามขอบเขาเรื่อยๆ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.5 ชม.
ระหว่างทางได้ยินเสียงหินตกเป็นระยะๆ เหมือน sound effect ที่ช่วยเพิ่มความตื่นเต้นเร้าใจให้กับการเดินทาง
เราเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปมากๆ เป็นธรรมชาติแปลกตาที่ไม่คิดว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้มาเห็น
แต่สำหรับคนที่เมารถคงจะต้องรักษาเนื้อรักษาตัวกันเยอะเลยล่ะ หนทางนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
อยู่บ้านเราจะได้ยินคำว่า “โค้งหักศอก” แค่นี้ก็ทำให้ลุ้นระทึกกันแล้ว
แต่ที่นี่ “โค้งไม่ครบศอก”
มีหลายๆ โค้งที่ต้องถอยหลังกลับมาตั้งลำกันใหม่ เพื่อจะให้ผ่านโค้งนั้นไปได้
ช่วงถอยหลังตั้งลำ พวกเราช่วยกันลุ้นไปด้วย เพราะถ้าถอยหลังมากไปนิด ทำให้ตกเขาได้เลยนะนั่น
ระหว่างทางมีเรื่องให้ลุ้นให้ตื่นเต้นกันได้ตลอด
ยังคิดอยู่ว่า ถ้ากลับมาอย่างปลอดภัย คงไม่กล้าเอารูปให้ที่บ้านดูแน่ๆ
กลัวพ่อแม่หัวใจวาย และครั้งต่อไปจะไม่อนุมัติให้เที่ยวแนวนี้อีก
ดูสภาพหนอนน้อยของเราสิ
จบงานนี้เลนส์ 17-50 ของเราเอาตัวไม่รอด ต้องส่งเข้าโรงซ่อม ไม่รู้เป็นเพราะฝุ่นหรือเป็นเพราะอะไรกันแน่
ทำให้วันต่อๆ มาต้องอาศัยกล้องเล็กซะเป็นส่วนใหญ่ เพราะเลนส์กล้องใหญ่จับโฟกัสไม่ได้
เสียดายว่าเอาเลนส์ติดกล้องไปแค่ตัวเดียว แต่ก็ยังดีที่มีกล้องเล็กใช้แก้ขัดไปพลางๆ
ลงจากรถจิ๊ปนึกว่าจะถึงร้านอาหารกินข้าวได้เลย
ที่ไหนได้ เรายังต้องเดินเลาะเขาอีก ลำพังเดินตัวเปล่าคงไม่เท่าไหร่ แต่นี่ต้องแบกกล้อง แบกสัมภาระอีก
ได้เหนื่อย ลำบาก และทรหดสมใจจริงๆ
มาถึงแล้วใช่ว่าจะได้กินข้าวเลยนะ ต้องรอเค้าทำอาหารอีกเกือบๆ ชั่วโมง
แต่เรื่องนี้พวกเราเตรียมตัวมาดี
แต่ละคนก็งัดเสบียงตัวเองเอาขนมนมเนยออกมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ร่วมทริปได้ประทังหิวกัน
จบมื้อกลางวันตอนบ่ายๆ
ก็ได้เวลาโขยกเขยกอยู่บนหลังม้าขึ้นเขาอีก 2 ชั่วโมง
เป็นครั้งแรกของเราที่ได้ขี่ม้า และต้องขี่นานขนาดนี้
สำหรับค่าม้าไม่รวมอยู่ในค่าทัวร์ เราต้องจ่ายเองต่างหาก
แต่ถือว่าถูกมากๆ สำหรับการเดินทางขึ้นลงเขา 4 ชั่วโมง ประมาณ 700-800 บาทเท่านั้นเอง
คนดูแลม้าประจำตัว
แรกๆ เค้าก็ยังแบกสัมภาระให้อยู่นะ ถ่ายรูปเพลินเลย กล้องกี่ตัวๆ เอาออกมาใช้หมด
ลืมเรื่องความปลอดภัยตอนนั่งอยู่บนหลังม้าไปเลย
หนทางไม่ราบเรียบ และอันตรายพอสมควร ถ้าม้าก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว เราก็ตกม้าหรือตกเขาได้เลย
วิวระหว่างทางสวยจริงๆ
2 ชั่วโมงที่นั่งอยู่บนหลังม้าไม่รู้สึกเบื่อเลย
อากาศเย็นๆ เห็นภูเขาหิมะลูกโตๆ อยู่ไกลๆ
แต่จะถ่ายรูปให้ชัดทั้งภูเขาหิมะและวิวข้างล่างนี้ยากจัง ถ่ายออกมาแต่ละรูปถ้าไม่ over ก็ under
ต้องมาแต่งรูปมั่วๆ ใน PhotoScape เอา เพราะใช้ PS ไม่เป็น
มาได้ครึ่งทางได้เวลาพักก้นแล้ว
รู้สึกเป็นสุขมากๆ ปวดก้นไปหมดเลย
ช่วงที่ผ่านหิมะ หรือน้ำแข็ง เราก็ต้องลงมาเดินเอง
จริงๆ หัวหน้าทัวร์เตือนว่า ไม่ควรให้ของมีค่าไกลตัว
แต่ ณ เวลานี้ ทั้งกระเป๋ากล้อง และกล้องถ่ายรูปยกให้คนดูแลม้าไปหมดตัวเลย
ขอเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ
ช่วงที่ต้องเดินเองนี่ทรมานสุดๆ เหมือนกัน
เหมือนแข้งขาจะหมดแรง และต้องเดินขึ้นเขาด้วย
แต่นี่ดูแลดีเกินเหตุไปรึเปล่า ถึงขนาดหิ้วปีกกันเลย
จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าหมดแรงเดินนะ
แต่เป็นเพราะเดินผ่านน้ำแข็งที่มันลื่น เค้าก็เลยประคองซะขนาดนั้นเลย
ในที่สุดช่วงเวลาแห่งความอดทนของเราก็สิ้นสุดลง
ขึ้นมาถึงบนเขา ในส่วนที่เรียกว่า แฟรี่มีโดวส์ (Fairy Meadows) ซะที
หน้าตายังแช่มชื่นได้อีก บอกแล้วว่า ยังไหวอยู่ ไม่ได้หมดแรงซะหน่อย
รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้ามากๆ
ไม่คาดคิดว่า ปากีสถานจะมีธรรมชาติที่สวยๆ งามๆ ขนาดนี้
ช่วงที่ขึ้นไปถึงมีหิมะโปรยปรายลงมานิดหน่อย
เหมือนเป็นการต้อนรับพวกเราเลย
เสียดายว่าตกมาน้อยไปนิด ก็เลยถ่ายรูปไม่ติด
ทริปนี้มีเพื่อนร่วมทางทั้งหมด 19 คน
อายุไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยวแนวนี้เลย ถ้าใจรักซะอย่าง
อายุมากสุดในกลุ่มประมาณ 60 กว่าๆ ป้าแกก็ยังไปกับเราได้ทุกที่ และกลับมาอย่างปลอดภัยเช่นกัน
เคยคิดว่า ตอนไปทิเบตนั่นโหดทรหดสุดๆ แล้วนะ
แต่อยากบอกว่า เทียบไม่ติดกับที่ปากีสถานนี้หรอก
ทิเบตเราแค่ต้องคอยระวังเรื่องความกดอากาศสูง ต้องเคลื่อนไหวช้าๆ ไม่อย่างนั้นจะทำให้น็อคได้
แต่ที่ปากีสถานนี่ เนื่องด้วยเป็นประเทศด้อยพัฒนา ไม่สะดวกในการเดินทาง และหนทางที่ทุลักทุเลพอสมควร
ทริปนี้มีทั้งต่อเครื่อง นั่งรถจิ๊ปและรถบัส ขี่ม้า และลงเรือ ครบสูตรเลย
กระท่อมหลังน้อยที่พักพิงอิงอายของเราในคืนนี้
ไม่มีไฟฟ้า ส่วนน้ำที่ใช้มาจากหิมะที่ละลายลงมาจากภูเขา เย็นเชียบเลย
นึกว่าจะไม่ได้เห็นแสงสีทองทอดผ่านยอดเขานังกาปราบัตซะแล้ว
แต่ในที่สุดเค้าก็ส่งแสงมาให้เราได้เชยชม เป็นแสดงสุดท้ายของวันที่สวยสุดๆ
ตกกลางคืนอุณหภูมิน่าจะถึงขั้นติดลบ
พวกเรางัดเสื้อผ้าที่พอจะขนขึ้นเขามาได้ใส่เข้าไปให้หนาที่สุดเท่าที่จะทำได้
ไม่เคยนอนในที่หนาวจัดๆ แบบนี้มาก่อนเลย แต่ก็เอาอยู่
บางส่วนไปนอนในบ้านหลังใหญ่ที่มีเตาผิงไฟอยู่กลางบ้าน
แต่กลางคืนหนาวกว่าพวกเราอีก เพราะไม่มีใครลุกขึ้นมาเติมฟืน
แฟรี่มีโดวส์ สวยในทุกบรรยากาศจริงๆ
เสียดายที่ไม่มีความสามารถถ่ายทอดความงามออกมาให้เห็นทุกคนได้เห็นได้
คุ้มค่ากับความเหนื่อยยากมากๆ
นั่งรถ16 ชม. จากอิสลามาบัด-กิลกิต ขึ้นลงเขาด้วยรถจิ๊บ 3 ชม. และขี่ม้าอีก 4 ชม.
ตอนเช้าเค้านัดกันไปที่จุดชมวิว Zero Point ซึ่งต้องเดินเท้าขึ้นเขาไป
จะเห็นวิวภูเขาหิมะได้ใกล้กว่านี้ และไม่มีต้นสนมาบดบังทัศนียภาพ
แต่ด้วยความที่หนาวเกินไป และต้องออมแรงไว้สำหรับตอนลงเขาอีก
ก็เลยขอบาย นอนอุ่นปากสั่นอยู่ในกระท่อมดีกว่า
รอดูภาพจากเพื่อนร่วมทริปแล้วกัน
ได้เวลาอำลาแฟรี่มีโดวส์กันแล้ว
ไม่อยากนึกถึงตอนที่ต้องนั่งม้าลงเขาเลย ก้นยังไม่หายระบมเลยอ่ะ
ขาขึ้นว่าน่ากลัวแล้ว แต่ขาลงลุ้นระทึกกว่า หน้าทิ่มอยู่ตลอดเวลา
ภาพ: ส่งท้ายกับเทือกเขาหิมะงามๆ และไกด์ท้องถิ่น
รูปเยอะไปหน่อยนะคะ อยากให้ทุกคนได้ชื่นชมความงามไปกับเราด้วย
“ปากีสถาน” สวยจนตะลึง
อย่าลืมรอชมตอนต่อไปนะคะ มีอีกหลายที่ที่อยากจะแนะนำให้รู้จักกัน
12/6/13
แล้วพบกันใหม่กับการเดินทางสะสมไมล์ต่อไปของเรานะคะ
..หนึ่งพันไมล์..
2018.03.23