1. ธารน้ำแข็งเมียร์ดาลส์ (Myrdals Glacier)
ธารน้ำแข็งเมียร์ดาลส์ มีอีกชื่อหนึ่งว่า “ธารน้ำแข็งแห่งหุบเขาไมร์” (Mire valley Glacier) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของที่ราบสูงไอซ์แลนด์ ได้รับการยอมรับว่าเป็นธารน้ำแข็งที่สวยที่สุด และที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ในไอซ์แลนด์ ในส่วนลึกของธารน้ำแข็งแห่งนี้ยังมี “ภูเขาไฟคาทลา” (Katla) ซ่อนอยู่ด้านใน ซึ่งเป็นภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่ยังปะทุมากที่สุดแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์ ไฮไลท์สำคัญคือ การขับรถสโนโมบิลผ่านพื้นที่อันกว้างใหญ่ของธารน้ำแข็งเข้าสู่ “ถ้ำน้ำแข็งคัทลา” (Katla Ice Caves) ที่อยู่ลึกลงไปด้านล่าง เป็นถ้ำน้ำแข็งสีสันสดใส อันเกิดจากการก่อตัวของหิมะที่ทับถมกันเป็นเวลานานหลายพันปี ที่มีความสวยงามราวกับอัญมณี
2. ทะเลสาบน้ำแข็งโจกุลซาลอน (Jokulsarlon)
ธารน้ำแข็งพันปีแห่งนี้ เป็นทะเลสาบน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป และใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก อีกทั้งยังลึกเป็นอันดับ 2 ของไอซ์แลนด์ ตั้งอยู่ระหว่างอุทยานแห่งชาติสเกฟตาลเฟลล์ (SKeftalfell National Park) และเมืองฮอฟน์ (Hofn) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของไอซ์แลนด์ เป็นทะเลสาบน้ำแข็งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ จากการละลายของน้ำในธารน้ำแข็ง และการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ปี ปัจจุบันกินพื้นที่กว้างถึง 18 ตารางกิโลเมตร โดยมีความลึกของน้ำถึง 200 เมตร กิจกรรมสำคัญของที่นี่คือ ชมแมวน้ำ สิงโตทะเล และนกสายพันธุ์ต่างๆ หากโชคดีอาจได้ชมปรากฎการณ์แสงเหนืออันน่าตื่นตาตื่นใจอีกด้วย
3. ถ้ำน้ำแข็งคริสตัล (Crystal Ice Cave)
ถ้ำน้ำแข็งคริสตัล หรือ “ถ้ำน้ำแข็งสกาฟตาเฟล” (Skaftafell Ice Cave) เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล (Vatnajokull National Park) ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองสกาฟตาเฟล (Skaftafell) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของไอซ์แลนด์ เป็นถ้ำที่เกิดจากธารน้ำแข็งสวีนาเฟลล์โจกุล (Svínafellsjökull Glacier) โดยถ้ำแห่งนี้มีปากถ้ำที่เป็นปล่องน้ำแข็งสูงประมาณ 22 ฟุต มีจุดเด่นอยู่ที่ผนังน้ำแข็งสีฟ้าที่ส่องประกายระยิบระยับ ราวกับก้อนคริสตัล ให้ความรู้สึกราวท่องไปในดินแดนพิศวง ธารน้ำแข็งแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ถ่ายทำฉากดาวเคราะห์น้ำแข็ง ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง “อินเตอร์สเตลลาร์ ทะยานดาวกู้โลก” (Interstellar) อีกด้วย
4. เส้นทางวงแหวนทองคำ (Golden Circle)
“วงแหวนทองคำ” เป็นเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมในหุบเขาฮัวกาดาลู (Valley of Haukadalur) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของไอซ์แลนด์ เป็นอาณาบริเวณที่เป็นศูนย์รวมของสถานที่ท่องเที่ยวแนวธรรมชาติที่สวยงาม และแหล่งวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวไวกิ้ง มี 3 จุดด้วยกันคือ “อุทยานแห่งชาติธิงเวลลีย์” (Þingvellir National Park) ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นที่สุดในอุทยานแห่งชาติทั้ง 3 แห่งในไอซ์แลนด์ “น้ำพุร้อนไกเซอร์” (Geysir Geothermal Area) น้ำพุร้อนที่สูงที่สุดของไอซ์แลนด์ และ “น้ำตกกุลล์ฟอสส์” (Gullfoss Waterfall) น้ำตกที่เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็ง ทิ้งตัวลงมาจากระดับความสูงของหน้าผาราว 30 เมตร สวยงามสมดังฉายา “ไนแองการาแห่งไอซ์แลนด์”
5. ทะเลสาบซิงเควลลาวัทน์ (Thingvallavatn Lake)
“ซิงเควลลาวัทน์” เป็นทะเลสาบธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ และเป็นทะเลสาบเพียงแห่งเดียวที่ได้รับยกย่องให้เป็นมรดกโลก ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติซิงเวลลีร์ (Thingvellir National Park) เป็นทะเลสาบที่ตั้งอยู่บนรอยแยกกลางมหาสมุทรแอตแลนติก บนส่วนหนึ่งของสันเขาที่เรียกว่า “แนวสันเขาเรคยาเนส” (Reykjanes Ridge) ไฮไลท์ของที่นี่คือ “รอยแยกใต้น้ำซิลฟรา” (Silfra Fissure) สถานที่ที่นักดำน้ำอยากไปเยือนมากที่สุดในโลกอีกด้วย โดยเป็นร่องลึกใต้ทะเลสาบ ที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก ระหว่างแผ่นอเมริกาเหนือและยูเรเซีย มีจุดดำน้ำขึ้นชื่อ 3 แห่งที่มีความงดงามแตกต่างกันออกไป
6. ทะเลสาบเคริท (Kerid Crater Lake)
ทะเลสาบปล่องภูเขาไฟ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของไอซ์แลนด์ บริเวณปากปล่องภูเขาไฟมีเนินวงกลมสูงชันคล้ายอัฒจันทร์โบราณ มีทะเลสาบอยู่ตรงกลาง มีความลึก 7-14 เมตร ซึ่งก่อตัวขึ้นจากการปะทุเมื่อ 3,000 ปีมาแล้ว และเป็นหนึ่งในหลุมอุกกาบาตภูเขาไฟหลายแห่งในพื้นที่ ซึ่งเรียกว่าเขตภูเขาไฟตะวันตกของไอซ์แลนด์ จุดเด่นคือน้ำสีฟ้าครามสดใส ทางลาดชันของปล่องภูเขาไฟปกคลุมด้วยหินภูเขาไฟสีแดงเกือบทั้งหมด และมีต้นไม้เขียวชอุ่มขึ้นรอบๆ ปล่องไฟ ทำให้รอบๆ ทะเลสาบเต็มไปด้วยสีเขียว สีแดง สีน้ำตาล ผสมกันเป็นหลากสี ทำให้เกิดวิวทิวทัศน์ที่สวยงามน่าอัศจรรย์ และกลายเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์
7. บ่อน้ำร้อนบูลลากูน (Blue Lagoon)
บลูลากูน หรือทะเลสาบสีฟ้า เป็นน้ำพุร้อนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ที่ถูกจัดให้เป็น 1 ใน 25 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ ในเขตลาวากรินดาวิก (Grindavík) ซึ่งเป็นเขตที่มีการเคลื่อนตัวของหินหลอมละลายใต้ดินมากที่สุดในโลก การเคลื่อนตัวนี้ทำให้น้ำในบ่อร้อนขึ้นและมีไอน้ำระเหยขึ้นมา โดยอุณหภูมิของน้ำจะอยู่ที่ประมาณ 40 องศาเซลเซียส อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุนานาชนิดจากใต้ดิน ที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณและสุขภาพ ที่นี่จึงถือเป็นสปาที่ครบครันไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวก ทั้งสปาทรีทเมนต์ ซาวนา ห้องอบไอน้ำ และห้องฟิตเนส และยังมีร้านอาหารและรีสอร์ทขนาด 35 ห้อง ให้บริการอีกด้วย
8. หาดทรายดำเรย์นิสฟยารา (Reynisfjara Black Sand Beach)
หาดดำสุดมหัศจรรย์ “เรย์นิสฟยารา” อยู่ในเขตเมืองวิก (Vik) เมืองใต้สุดของไอซ์แลนด์ หาดทรายแห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 10 ชายหาดบนโลกที่ต้องมาเยือนสักครั้ง เป็นชายหาดที่เต็มไปด้วยกรวดสีดำ ที่เกิดขึ้นจากการสึกกร่อนของหินลาวาและแนวหินบะซอลต์ ที่ถูกพัดพาไปสะสมตัวบริเวณชายหาด ที่กลางมหาสมุทรจะมีกลุ่มแท่งหินสีดำรูปร่างแปลกตา ที่เรียกว่า “เรย์นิสแดรงการ์” (Reynisdrangar) อีกฟากหนึ่งของชายหาดคือ “ภูเขาเรย์นิสฟยอล” (Reynisfjall) ภูเขาหินที่ก่อตัวขึ้นจากเถ้าภูเขาไฟ เป็นแนวแท่งหินบะซอลต์ขนาดใหญ่เรียงสลับทับซ้อนกัน จนเกิดภาพความสวยงามของธรรมชาติ และเป็นมุมถ่ายภาพยอดฮิต
9. ทะเลสาบมิวาทน์ (Myvatn Lake)
ทะเลสาบมิวาทน์ ตั้งอยู่ทางเหนือของไอซ์แลนด์ เป็นแหล่งน้ำที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของไอซ์แลนด์ ด้วยพื้นที่ 36.5 ตารางกิโลเมตร เป็นแหล่งทรัพยากรที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรณีวิทยา ได้รับการประกาศให้เป็นเขตอนุรักษ์ของไอซ์แลนด์ มีเกาะภูเขาไฟล้อมรอบไปด้วยหลุมอุกกาบาต บ่อน้ำพุร้อนและลาวาหลากหลายรูปแบบ มีชื่อเสียงในเรื่องของนกเป็ดน้ำพันธุ์ต่างๆ และเป็นที่อาศัยของปลาเทราต์สีน้ำตาลที่ดีที่สุดในโลก ในฤดูหนาวจะมีหิมะปกคลุม น้ำในทะเลสาบแข็งตัวเป็นน้ำแข็ง สวยงามตระการตามาก กิจกรรมสำคัญที่พลาดไม่ได้ คือการมานอนแช่ออนเซ็นต์แบบไอซ์แลนด์ ที่อ่างน้ำธรรมชาติมีวัทน์ (Myvatn Nature Baths) ซึ่งเป็นเขตอาบน้ำแร่ที่อุดมไปด้วยสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ
10. น้ำตกเดตตี้ฟอสส์ (Dettifoss Waterfall)
น้ำตกเดตตี้ฟอสส์ เป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่และทรงพลังมากที่สุดในยุโรป ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล(Vatnajokull National Park) ซึ่งเป็นอุทยานฯ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป น้ำตกเดตตี้ฟอสส์เป็นน้ำที่ไหลมาจากแม่น้ำ “โจกุลเอาฟยอ์ลลุม” (Jokulsa a Fjollum) ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากธารน้ำแข็งวัทนาโจกุล (Vatnajokull Glacier) ความตื่นตาตื่นใจของน้ำตกแห่งนี้ คือน้ำตกอันทรงพลังที่ไหลลงมาจากขอบหน้าผาอันกว้างใหญ่ถึง 100 เมตร สายน้ำไหลลดหลั่นลงไปในหุบเหว Jนkulsargljufur ซึ่งลึกลงไปอีก 45 เมตร โดยมีปริมาณน้ำไหลเฉลี่ย 193 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นละอองน้ำอันทรงพลังได้จากระยะไกลหลายกิโลเมตร ที่นี่ยังมีเส้นทางเดินป่าระยะทาง 34 กิโลเมตร โดยสามารถตั้งแคมป์ได้อีกด้วย
11. น้ำตกสวาร์ติฟอสส์ (Svartifoss)
น้ำตกสวาร์ติฟอสส์ หรือ “น้ำตกดำ” (Black Waterfall) ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติสกาฟทาเฟล (Skaftafell National Park) อุทยานฯ ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไอซ์แลนด์ จุดเด่นของน้ำตกแห่งนี้อยู่ที่แท่งหินลาวาสีดำลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ อันเป็นที่มาชื่อเรียกของน้ำตก โดยเป็นหินบะซอลต์สีดำ ซึ่งเกิดจากการปะทุของลาวา เมื่อค่อยๆ เย็นตัวลงทำให้หินเรียงกันเป็นแท่งสวยงามแปลกตาจนได้รับฉายาว่า “ไข่มุกแห่งไอซ์แลนด์” (Pearl of Iceland) นอกจากนี้ยังมีเส้นทางเดินป่าให้เลือกหลากหลายเส้นทาง โดยมีเส้นทางสกาตาเฟลส์โจกูล (Skaftafellsjokull) ระยะทาง 3.7 กิโลเมตร เป็นเส้นทางที่ง่ายที่สุด และยังเป็นเส้นทางที่จะได้เห็นธารน้ำแข็งสกาตาเฟลส์โจกูล (Skaftafellsjokull) อีกด้วย
12. ภูเขาเคิร์กจูเฟล (Kirkjufell Mountain)
ภูเขาเคิร์กจูเฟล มีหลายชื่อเรียกทั้ง “ภูเขาโบสถ์” (Church Mountain) และ “ภูเขาหมวกแม่มด” (Witch’s Hat Mountain) อันมาจากจากรูปทรงของภูเขาที่ดูคล้ายหมวกแม่มด เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญของไอซ์แลนด์ ที่มีคนไปถ่ายรูปมากที่สุด เป็นภูเขาสูง 463 เมตร อยู่ทางชายฝั่งตอนเหนือของคาบสมุทรสแนฟเฟิ่ลเนสส์ (Snaefellsnes) ทางฝั่งตะวันตกของไอซ์แลนด์ สามารถมองเห็นได้จากทุกมุมเมืองกรุนดาร์ฟจอร์ดูร์ (Grundarfjordur) ที่นีี่เต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม บริเวณฐานของภูเขามีทะเลสาบ ในวันฟ้าใสจะเห็นภาพภูเขาสะท้อนน้ำสวยงามจับตา และที่นี่ยังเป็นสถานที่สุดฮิตของนักไต่เขา และเป็นจุดชมแสงเหนือสุดอลังการอีกด้วย
13. น้ำตกเซลยาลันส์ฟอสส์ (Seljalandsfoss)
น้ำตกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์ ตั้งอยู่ระหว่างเมืองเซลฟอส (Selfoss) กับเมืองสโคคาร์ฟอสส์ (Skogafoss) น้ำตกแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำเซลยาลันด์ซา (Seljalandsa River) ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ใต้ธารน้ำแข็งเอยาฟยาตลาเจอกุล (Eyjafjallajokull Glacier) จุดเด่นคือเป็นน้ำตกไม่กว้างแต่สูง มีความสูงอยู่ที่ 60 เมตร ยามที่สายน้ำจากด้านบนไหลลงมาปะทะกับผืนน้ำเบื้องล่าง เกิดเป็นละอองน้ำที่สวยงาม อีกทั้งยังสามารถเดินลัดเลาะไปยังด้านหลังของม่านน้ำตกได้อีกด้วย มองเห็นวิวน้ำตกได้แบบพาโนรามาเลยเดียว จึงเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมของช่างภาพทั้งมือสมัครเล่น และมืออาชีพที่นิยมเดินทางมาถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกดินกันที่นี่
14. แหลมดีร์โฮเลย์ (Dyrholaey)
“ดีร์โฮเลย์” หินลาวาดำขนาดมหึมาสูง 120 เมตร ก่อตัวเป็นรูปโค้งตั้งตระหง่านอยู่ในทะเลจนเกิดเป็นคาบสมุทรขึ้น โดยมีหน้าผาเป็นช่องทะลุอยู่ทางด้านหน้าของแหลม ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของน้ำทะเลและลมที่พัดผ่านเป็นช่องโค้ง ที่แม้แต่เรือขนาดใหญ่ก็จะแล่นผ่านได้ แม้แต่นักบินผาดโผนก็เคยบินผ่านโค้งหินนี้มาแล้ว ดีร์โฮเลย์เป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติมาตั้งแต่ปี 1978 ไฮไลท์ของแหลมดีร์โฮเลย์คือชายหาดที่มีทรายสีดำ ซึ่งเป็นเม็ดทรายที่ตกตะกอนจากหินลาวาที่เกิดจากภูเขาไฟ จากบนนั้นเมื่อมองไปทางทิศเหนือจะพบกับธารน้ำแข็งมิร์ดาลสโจกุล (Myrdalsjokull) ส่วนทางฝั่งตะวันออกคือกลุ่มหินลาวา “เรย์นิสดรังการ์” (Reynisdrangar) ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่โผล่ขึ้นมาจากมหาสมุทรแอตแลนติก
15. เขตอนุรักษ์ธรรมชาติฮอร์นสตานเดอร์ (Hornstrandir Nature Reserve)
“ฮอร์นสตรานดิร์” เป็นพื้นที่ทางฝั่งเหนือสุดของฟยอร์ดทางตะวันตกของไอซ์แลนด์ ที่เรียกว่า “คาบสมุทรเวสท์ฟยอร์ด” (Westfjords) เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นสถานที่ที่มีคนอาศัยอยู่น้อยที่สุดในประเทศ เหมาะสำหรับนักผจญภัยที่หลงรักในธรรมชาติอันงดงาม มีเส้นทางที่เป็นหินผาสูงชันและหน้าผาริมทะเล ปลายสุดทางตอนเหนือของอุทยานฯ มีหน้าผาริมทะเล “ฮอร์นบิจาร์ก” (Hornbjarg) ที่มีความสูง 534 เมตรจากระดับน้ำทะเล ที่ซึ่งเป็นบ้านของนกทะเลฝูงใหญ่ที่สุดในโลก มีนกกว่า 30 สายพันธุ์มาทำรัง ในช่วงโพล้เพล้ของฤดูร้อนยังได้เห็นจิ้งจอกอาร์กติกยืนจังก้าอยู่ที่ริมหน้าผาเขียวชอุ่มเต็มไปด้วยดอกไม้ป่า นักท่องเที่ยวจะได้ไปชมชีวิตสัตว์ป่าในฮอร์นสตรานดิร์แบบใกล้ชิดเลยทีเดียว
การไปเที่ยวไอซ์แลนด์ให้สนุกสุดฟิน การเตรียมความพร้อมทั้งทางด้านร่างกายเป็นเรื่องสำคัญ เพราะต้องต่อเครื่อง เพราะไม่มีสายการบินใดที่บินตรงไปลงที่ไอซ์แลนด์เลย อีกทั้งต้องตะลุยธารน้ำแข็ง ปีนป่ายภูเขา และไล่ล่าแสงเหนือ อย่างไรเสีย อย่าลืมวางแผนการเดินทางไว้ให้รัดกุม เพื่อประหยัดเวลาในการเดินทางท่องเที่ยวด้วยน้าาา